AHA และ BHA คืออะไร ต่างกันอย่างไร
ส่วนผสมของครีมหรือสกินแคร์นั้นมีหลากหลาย แต่ที่นิยมใช้กันหรือเป็นที่รู้จักในหมู่ผู้บริโภคก็คงหนีไม่พ้น AHA และเมื่อพูดถึงสาร AHA สิ่งที่จะนึกถึงตามกันมาก็คือ BHA ซึ่งสารสกัดสองตัวนี้เป็นสารสกัดที่สร้างความสับสนให้กับทั้งเจ้าของแบรนด์ที่กำลังเริ่มต้นสร้างแบรนด์เครื่องสำอาง และผู้บริโภคที่เริ่มมองหาผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เนื่องจากสองตัวนี้มีสรรพคุณที่คล้ายกัน วันนี้ทาง Kovic Kate จึงจะพาทุกท่านไปรู้จักกับ AHA และ BHA สารสกัดทั้งสองอย่างนี้คืออะไร และมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

AHA คืออะไร
AHA หรือ กรดอัลฟาไฮดรอกซี (Alpha Hydroxy Acids) คือสารสกัดจากธรรมชาติที่มีฤทธิ์เป็นกรดเช่น
- กรดซีตริก (Citric Acids) จากผลไม้รสเปรี้ยว
- กรดทาร์ทาริก (Tartaric Acid) จากองุ่น
- กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) จากอ้อย
- กรดมาลิก (Malic Acid) จากแอปเปิล
- กรดแลคติก (Lactic Acid) จากนมเปรี้ยว
AHA ถูกนำมาใช้คืนความอ่อนเยาว์และบำรุงผิวมายาวนานตั้งแต่อดีต และยังคงใช้กันอย่างแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน โดยประสิทธิภาพการดูแลผิวจะขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของ AHA ในผลตภัณฑ์แต่ละชนิด ซึ่งกรดไกลโคลิก และกรดแลคติกเป็นกรดที่ใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางมากที่สุด
ทำงานของ AHA
AHA จะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าหรือเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกจากชั้นผิวหนัง และเผยผิวที่มีสุขภาพดีออกมา การใช้ AHA ที่มีความเข้มข้นสูงและใช้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจส่งผลต่อชั้นผิวที่อยู่ลึกลงไป ด้วยการกระตุ้นการเกิดใหม่ของคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวนุ่มและริ้วรอยต่าง ๆ ดูลดเลือนลง
สรรพคุณของ AHA
- ช่วยลดเลือนริ้วรอย : AHA จะกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวได้เร็วขึ้น ทำให้ริ้วรอยต่าง ๆ ลดเลือนลง และช่วยปรับสีผิวให้เรียบเนียนสม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของ AHA, Vitamin B3, Vitamin C และ Vitamin E ซึ่งช่วยลดเลือนริ้วรอย และทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้นหลังจากใช้ไปแล้ว 21 วัน โดยไม่เกิดผลข้างเคียง
- ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ปรับสมดุลค่า pH : กรดมาลิกนั้นมักถูกนำไปเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางและครีมบำรุง เพื่อช่วยปรับสมดุลค่า pH ให้แก่ผิว และอาจมีประสิทธิภาพดีกว่าเมื่อเทียบกับกรด AHA ชนิดอื่น ๆ นอกจากนี้กรดมาลิกยังมีคุณสมบัติรักษาความชื้นได้ดีซึ่งจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวอีกด้วย
- ป้องกันสิว รอยสิวดูจางลง : AHA จะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และกำจัดสิ่งอุดตันตามรูขุมขน อีกทั้งยังช่วยลดอาการอักเสบ กระชับรูขุมขน กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ที่เรียบเนียนกว่า ทำให้รอยสิวดูจางลง
BHA คืออะไร
BHA หรือกรดเบต้าไฮดรอกซี (Beta Hydroxy Acids) เป็นสารที่นิยมใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า โดยมีคุณสมบัติหลักในการกำจัดเซลล์ผิวเก่าบริเวณผิวชั้นนอกสุด จึงช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียน ริ้วรอย รอยด่างดำจากสิวและการถูกทำลายจากแสงแดดจางลง และยังช่วยขจัดความมันส่วนเกินบนใบหน้าได้อีกด้วย โดยสารในกลุ่ม BHA มีหลายชนิดได้แก่
- กรดเบตาไฮดรอกซีบูทาโนอิก (Beta Hydroxybutanoic Acid)
- กรดโทรปิค (Tropic Acid)
- กรดเทรโธคานิก (Trethocanic Acid)
- กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid)
สรรพคุณของ BHA
BHA มีคุณสมบัติคล้ายกับสาร AHA คือช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก แต่จะแตกต่างกันตรงที่ BHA ละลายได้ดีในน้ำมัน จึงสามารถแทรกซึมไปละลายเซลล์ที่ตายแล้วรวมถึงซีบัม (Sebum) ที่อุดตันรูขุมขนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้รูขุมขนสะอาด ไร้สิ่งสกปรกตกค้าง นอกจากนั้น Salicylic Acid ยังมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อสิว ลดการอักเสบ ช่วยสลายสิวอุดตัน คนที่มีปัญหาสิวหรือผิวมัน BHA จึงเป็นตัวช่วยดูแลผิวหน้าที่ดี
BHA ใช้อย่างไรให้ปลอดภัยต่อผิว
กระทรวงสาธารณสุขของไทยกำหนดให้ผลิตภัณฑ์ทาผิวที่วางขายทั่วไปมีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิกที่ระดับความเข้มข้นไม่เกิน 2% ในกรณีที่ใช้ BHA รักษาปัญหาผิว อย่างเซบเดิม สิวอุดตัน และรอยสิว ด้วยการผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีจะใช้ BHA ที่มีความเข้มข้นระหว่าง 10–20% ซึ่งจะต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น
AHA และ BHA เหมือนหรือแตกต่างกัน
AHA และ BHA ถือเป็นกรดที่ช่วยในเรื่องผลัดเซลล์ผิว และป้องกันการเกิดสิวทั้งคู่ แต่ทั้งคู่มีความแตกต่างกันคือ การใช้ให้เหมาะกับสภาพผิว โดย BHA นั้น ละลายในน้ำมันได้ จึงสามารถทำความสะอาดรูขุมขนที่เป็นแหล่งเกิดน้ำมันบนหน้ามากกว่า และช่วยลดความมันได้ดี
ในขณะที่ AHA ไม่สามารถละลายในน้ำมันได้จึงทำงานได้ดีบนผิวชั้นบนเท่านั้น นอกจากนี้ AHA ยังก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวและส่งผลให้ผิวหน้าบางลงจนอาจถูกทำร้ายจากแสงแดดได้มากกว่า
สรุป
AHA และ BHA นั้นมีความเหมือนกันตรงที่มีหน้าที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ AHA จะทำงานได้ดีบนผิวชั้นบนเท่านั้น ส่วน BHA สามารถทำความสะอาดรูขุมขนที่เป็นแหล่งเกิดน้ำมัน และช่วยลดความมันได้ ดังนั้นหากเจ้าของแบรนด์เครื่องสำอางต้องการใส่กรดแต่ละชนิดลงไปในผลิตภัณฑ์ ควรคำนึงถึงผิวของกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ว่ามีผิวประเภทไหน เผื่อที่จะได้ใช้ส่วนผสมที่ตอบโจทย์มากที่สุด
แหล่งที่มา
www.pobpad.com
women.trueid.net
women.kapook.com
โควิก เคทท์ เป็นโรงงานผลิตอาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ผลิตเครื่องสำอาง สกินแคร์ ยาสมุนไพรและสารสกัดสมุนไพร ที่มีประสบการณ์กว่า 20 ปี
บริการผลิตอาหารเสริมครบวงจร ที่มีคุณภาพสูง มีความปลอดภัยและมาตรฐานที่ดีเยี่ยม เพื่อให้คุณลูกค้าได้เป็นเจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมในรูปแบบที่ง่ายและไม่ต้องลงทุนสูง
จากแนวคิด Complete OEM Health & Beauty Ecosystem โควิก เคทท์ ได้นำความเชี่ยวชาญ การพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์จากสารสกัดธรรมชาติและสมุนไพร มาต่อยอดเทคโนโลยี และสร้างนวัตกรรมการผลิต ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมใหม่ๆ เพื่อเพิ่มคุณภาพผลิตภัณฑ์และประสิทธิภาพของสินค้าต่อผู้บริโภคให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
สำหรับผู้ที่สนใจผลิตอาหารเสริมกับทาง #KovicKate ติดต่อได้ที่
โทร : 02-521-7888
